วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย

SET คืออะไร

พิมพ์
          
          




                      Secure Electronic Transaction (SET) เป็นระบบสำหรับทำให้มั่นใจ ถึงความปลอดภัยของ ทรานแซคชันทางการเงินบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งได้รับการสนับสนุนเริ่มต้นโดย MasterCard, Visa, Microsoft, Netscape และ อื่น ๆ ด้วย SET ผู้ใช้จะได้รับ electronic wallet และทรานแซคชันที่นำ และตรวจสอบโดยการใช้ส่วนประกอบของ digital certificate และ digital signature ในระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย และ ธนาคารของผู้ซื้อ ในวิธีที่ทำให้มั่นใจว่า มีความเป็นส่วนบุคคลและมั่นใจได้ SET ใช้ Netscape Secure Socket Layer (SSL), Microsoft Secure Transaction Technology (STT) และ Terisa System Secure Hypertext Transfer Protocol (S-HTTP) SET ใช้บางส่วน แต่ไม่ใช่รูปแบบทั้งหมดของ public key infrastructure

การทำงานของ SET     

 สมมุติให้ลูกค้ามี browser ที่ใช้ SET ได้ เช่น Netscape หรือ Microsoft Internet Explorer และ ผู้ให้ทรานแซคชัน (ธนาคาร , ร้านค้า) มี Set-enable server
1. ลูกค้าเปิดบัญชี MasterCard หรือ Visa
2. ลูกค้าได้รับ digital certificate ไฟล์อีเลคโทรนิคส์ทำงานเหมือนบัตรเครดิตสำหรับการซื้อสินค้า online หรือทรานแซคชันอื่น ซึ่งจะรวม key สาธารณะซึ่งมีวันหมดอายุ และมี digital switch โดยธนาคารรับประกันการใช้งาน
3. ผู้ขายสินค้าฝ่ายที่ 3 จะได้รับ certificate จากธนาคาร certificate มี key สาธารณะของผู้ขายสินค้าและธนาคาร
4. ลูกค้าวางใบสั่งซื้อผ่านเว็บเพจ
5. browser ของลูกค้า ได้รับและการยืนยันจาก certificate ของผู้ขายสินค้าว่าถูกต้องตามกฎหมาย
6. browser ส่งสารสนเทศของใบสั่งของ ข่าวสารนี้จะ encrypt ด้วย key สาธารณะของผู้ขาย รายละเอียดการชำระเงิน จะ encrypt ด้วย key สาธารณะของธนาคาร (ผู้ขายสินค้าไม่สามารถอ่านได้) และสารสนเทศที่ประกันการจ่าย สามารถใช้เฉพาะใบสั่งซื้อนี้
7. ผู้ขายตรวจสอบลูกค้าโดยการตรวจสอบ digital signature บน customer's certificate อาจจะทำโดยการอ้างถึง certificate ไปที่ธนาคาร หรือฝ่ายที่ 3 (third-party) ตรวจสอบเอง
8. ผู้ขายส่งข่าวสารของใบสั่งซื้อไปที่ธนาคาร รวมถึง key สาธารณะของธนาคาร สารสนเทศการชำระเงินของลูกค้า และ certificate ของผู้ขายสินค้า
9. ธนาคารตรวจสอบผู้ขายและข่าวสาร ธนาคารใช้ digital signature บน certificate กับข่าวสารและตรวจสอบส่วนการชำระเงิน
10. ธนาคาร digitally sign และส่งอำนาจให้กับผู้ขายสินค้า




MAI คืออะไร


     



                     Market for Alternative Investment  (MAI) เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งที่สองของประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2542 และเปิดทำการซื้อขายวันแรกเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2544 มีจุดประสงค์การทำงานโดยทั่วไป เหมือนกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คือ ทำหน้าที่เป็นตลาดทุน เพื่อให้กิจการต่างๆ สามารถระดมเงินทุนเพิ่มเติมจากสาธารณะได้ แต่ตลาดใหม่นี้ จะเน้นไปที่กิจการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี - SME) และกิจการเกี่ยวกับนวัตกรรม โดยได้ผ่อนผันหลักเกณฑ์ต่างๆ ลง เช่น ทุนชำระแล้วขั้นต่ำของหลักทรัพย์ในตลาดหลัก คือ 200 ล้านบาท ในขณะที่ขั้นต่ำของตลาดใหม่ ลดลงเป็น 40 ล้านบาท เป็นต้น เพื่อเปิดโอกาสให้กิจการขนาดเล็ก ที่ไม่สามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ ได้มีหนทางในการระดมทุน รวมทั้งสนับสนุนอุตสาหกรรมการร่วมลงทุน (venture capital) เพื่อเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์




TFEX คืออะไร

         




                   Thailand Futures Exchage (TFEX) หรือ บริษัทตลาดอนุพันธ์(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อดำเนินการเป็นศูนย์ซื้อ-ขาย สัญญาชื้อขายล่วงหน้า ตามพระราชบัญญัติสัญญาชื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.2546 โดยเริ่มซื้อขายวันที่ 28 เมษายน 2549 เป็นวันแรก

สินค้าที่ซื้อขายใน Tfex ตามพรบ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้า พศ.2546 สินค้าที่สามารถซื้อขายใน บมจ.ตลาดอนุพันธ์ ได้คือ
1. ฟิวเจอร์ (Futures)
2. ออปชั่น (Option)
3. ออปชั่นบนสัญญาฟิวเจอร์ ( Options on Futures)
ของสินทรัพย์อ้างอิงประเภทต่างๆ ได้แก่
- อ้างอิงกับตราสารทุน ได้แก่ ดัชนีราคาหลักทรัพย์ หลักทรัพย์
- อ้างอิงตราสารหนี้ ได้แก่ พันธบัตร อัตราดอกเบี้ย
- อ้างอิงกับราคา หรือราคาอื่นๆ ได้แก่ ทองคำ น้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน

สัญญาซื้อขายล่วงหน้า คือการตกลงราคาซื้อขายกัน โดยจะมีวันกำหนดอายุ เช่น Set50Futures หรือ Tfex จะแบ่งเป็น 4 ช่วงอายุใน 1 ปี ช่วงหนึ่งจะมีอายุ 3 เดือน อย่างเช่นตอนนี้ จะใช้สัญญาที่ซื้อขายกันจะหมดอายุ เดือนมิถุนายน ชื่อสัญญา S50M10

สินค้าตัวแรกของ TFEX คือ SET50 หรือ เรียกว่า Set 50 Index Futures
จุดเด่นของ Tfex คือ สามารถขายก่อนซื้อ หรือ สามารซื้อก่อนขายได้ทั้งคู่ และเป็นการลงทุนน้อยแต่ผลตอบแทนหรือความเสี่ยงจะสูงมาก




BEX คืออะไร


          



                       Bond Electronic Exchange (BEX)  หรือ ตลาดตราสารหนี้  จัดตั้งขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเปิดให้บริการการซื้อขายแก่นักลงทุนทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2546 โดยให้บริการผ่านระบบการซื้อขายแบบเรียลไทม์ เพื่อที่จะพัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านปริมาณการซื้อขาย คุณภาพของตราสารหนี้ ตัวกลางการซื้อขาย และแหล่งข้อมูลอ้างอิง โดยมีเป้าหมายในการดำเนินการตลาดรองตราสารหนี้ที่สมบูรณ์แบบของประเทศไทย ให้บริการครอบคลุมผู้ลงทุนและผู้ค้าตราสารหนี้ทั้งหมด






 AFET คืออะไร


 
          




                 The Agricultural Futures Exchange of Thailand  (AFET) หรือ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย เป็นศูนย์กลางในการซื้อขาย Futures ที่อ้างอิงมูลค่าจากราคาสินค้าเกษตรประเภทต่างๆ ได้แก่ ยางพารา ข้าว และมันสำปะหลัง ซึ่งนอกจากนักลงทุนจะเข้ามาแสวงหาผลกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าแล้ว การลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้านสินค้าเกษตรในตลาด AFET ยังเป็นเพียงช่องทางเดียวที่นักลงทุนในประเทศจะสามารถลงทุนในสินทรัพย์ Commodities ได้ โดยไม่ต้องทำธุรกิจค้าขายในสินค้านั้นๆ ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจค้าขายสินค้าเกษตรก็สามารถเข้ามาใช้ Futures เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้านั้นๆ ได้อีกด้วย
ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) นับเป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนใน Commodities


 

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ระบบสารสนเทศในองค์กร Major Types Of Systems


ระบบสารสนเทศในองค์กร (Information Systems)

ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศในองค์กร ( Major Types Of Systms )
ระบบสารสนเทศได้ถูกพัฒนาขึ้นในรูปแบบเพื่อสนองความต้องการสารสนเทศมในการบริหารงานระดับต่าง ๆ ดังนี้




1. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Executive Support System : ESS)
           ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (ESS)  เป็นระบบสนับสนุนการตัดสินใจประเภทหนึ่งซึ่งได้รับการพัฒนามาโดยเฉพาะสำหรับผู้บริหารระดับสูงเพื่อสันบสนุนการตัดสินใจในปัญหาแบบไม่มีโครงสร้าง ผู้บริหารระดับสูงใช้ระบบ ESS เป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกรวดเร็วในการบริหารและตัดสินใจ โดยระบบจะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัยตามความต้องเพื่อในการกำหนดวิสัยทัศน์ ภารกิจ กลยุทธ์ วัตถประสงค์ และเป้าหมาย รวมถึงการวางแผนระยะยาว นอกจากนี้ระบบยังช่วนอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บริหารและบุคลากรในองค์การและระหว่างองค์การด้วย ระบบ ESS ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถเหมาะสมและง่ายต่อการใช้งาน สอดคล้องกับความต้องการ ทักษะ รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลของผู้บริหารระบบ ESS บางครั้งเรียกว่าระบบ EIS ซึ่งเป็นระบบที่ให้สารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูงเช่นกันแต่ระบบ ESS ระรวมความสามารถเพิ่มเติมด้านการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ การวิเคราะห์ข้อมูล การจัดการและการจัดลำดับงาน
 
ลักษณะของระบบ ESS
ESS (Enterprise Support Systrem) ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง ถูกออกแบบมาช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงซึ่งใช้ในการวางแผนกลยุทธหรือแผนการดำเนินงานระยะยาวขององค์กร ระบบ ESS มีโครงสร้างที่เหมาะสมกับปัญหาทแบบไม่มีโครงสร้างจึงต้องเน้นที่ความอ่อนตัวในการทำงานและสนับสนุนการสื่อสารมากกว่าที่จะสร้างโปรแกรมประยุกต์ที่ออกแบบมาให้ทำงานเฉพาะด้านเหมือนในระบบ MIS เท่านั้น ระบบ ESS ใช้ข้อมูลทั้งจากภายนอกองค์กร เช่นตารางการประกาศใช้กฎหมายใหม่ กำหนดการชำระภาษี หรือข้อความโฆษณาจากบริษัทคู่แข่ง และข้อมูลภายในองค์กร โดยข้อมูลที่ได้นั้นจะถูกกลั่นกรองข้อมูลและนำเสนอเฉพาะส่วนที่มีความสำคัญต่อผู้บริหารระดับสูงซึ่งจะเน้นการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่ช่วยให้การนำเสนอมีความสะดวกและง่ายแก่การรับรู้มากที่สุด  เช่น การใช้รูปภาพกราฟฟิก

ระบบ ESS เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการคำนวณทั่วไปและการสื่อสารซึ่งจะตอบคำถามเช่น แนวโน้มการทำธุรกิจในอนาคตควรเป็นประเภทใดบริษัทคู่แข่งมีฐานะการดำเนินงานเป็นอย่างไร จะป้องกันผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่แกว่งตัวได้อย่างไร

ลักษณะของระบบ ESS
  1. ให้สารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อการวางแผนเชิงกลยุทธ์
  2. ง่ายต่อการเรียนรู้และใช้งาน
  3. เชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลภายนอก
  4. สามารถประมวลผลในรูปแบบที่ไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
  5. พัฒนาเฉพาะสำหรับผู้บริหาร
  6. มีระบบรักษาความปลอดภัย




2. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Systems:DSS )


    ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System)หรือ DSS เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากระบบ MIS อีกระดับหนึ่ง เนื่องจาก ถึงแม้ว่าผู้ที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจจะสามารถใช้ประสบการณ์หรือใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในระบบเอ็มไอเอสของบริษัท สำหรับทำการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานปกติ แต่บ่อยครั้งที่ผู้ตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารในระดับสูงและระดับกลางจะเผชิญกับการตัดสินใจที่ประกอบด้วยปัจจัยที่ซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะประมวล เข้าด้วยกันได้อย่างถูกต้อง จึกทำให้เกิดระบบนี้ขึ้น ซึ่งเป็นระบบที่สนับสนุนความต้องการเฉพาะของผู้บริหารแต่ละคน (made by order) ในหลายๆสถานะการณ์ ระบบ นี้มีหน้าที่ช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปได้อย่างสะดวก โดยจะช่วยผู้ตัดสินใจในการเลือกทางเลือก หรืออาจมีการจัดอันดับให้ทางเลือกต่างๆตามที่ผู้ตัดสินใจกำหนด นอกจากนี้ นี้จะเป็นระบบสาร สนเทศแบบโต้ตอบได้ ซึ่งจะใช้ชุดเครื่องมือที่ประกอบขึ้นจากทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อช่วยให้ผู้บริหารสามารถใช้งานได้ง่ายที่สุด เช่น การแสดงกราฟิกต่างๆ หรือใช้ระบบกานจัดการ ฐานข้อมูล (DBMS) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้โมเดลการวางแผนและการทำนาย หรือแม้แต่ระบบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถเรียกใช้สารสนเทศที่ต้องการได้ โดยไม่จำ เป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเลย  ลักษณะของระบบ DSS ที่ดีสามารถสรุปได้ดังนี้
  1. ระบบ DSS จะต้องช่วยผู้บริหารในกระบวนการตัดสินใจ
  2. ระบบDSS จะต้องถูกออกแบบมาให้สามารถเรียกใช้ทั้งข้อมูลแบบกึ่งโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้างแน่นอนได้
  3. ระบบ DSS จะต้องสามารถสนับสนุนผู้ตัดสินใจได้ในทุกระดับแต่จะเน้นที่ระดับวางแผนบริหารและวางแผนยุทธศาสตร์
  4. ระบบ DSS จะมีรูปแบบการใช้งานอเนกประสงค์มีความสามารถในการจำลองสถานการณ์ และมีเครื่องมือในการวิเคราะห์สำหรับช่วยเหลือผู้ทำการตัดสินใจ
  5. ระบบ DSS ต้องเป็นระบบที่โต้ตอบกับผู้ใช้ได้ สามารถใช้งานได้ง่าย ผู้บริหารต้องสามารถใช้งานโดยพึ่งความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญน้อยที่สุดหรือไม่ต้องพึ่งเลย
  6. ระบบ DSS ต้องสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการข่าวสารในสถานการณ์ต่างๆ
  7. ระบบ DSS ต้องมีกลไกช่วยให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
  8. ระบบ DSS ต้องสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรได้
  9. ระบบ DSS ต้องทำงานโดยไม่ขึ้นกับระบบทำงานตามตารางขององค์กร
  10. ระบบ DSS ต้องมีความยืดหยุ่นพอที่จะรองรับรูปแบบการบริหารแบบต่างๆ
  11.  ความแตกต่างของระบบดีเอสเอสและเอ็มไอเอส
  12. ระบบ MIS จะถูกออกแบบให้สามารถจัดการเฉพาะกับปัญหาที่มีโครงสร้างเท่านั้น ในขณะที่ระบบ DSS ถูกออกแบบให้สามารถจัดการกับปัญหากึ่งมีโครงสร้าง หรือแบบไม่มีโครงสร้างแน่นอน ตัวอย่างเช่น ความต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพในการส่งสินค้าของพ่อค้า จะสามารถหาโครงสร้างได้ในส่วนของสารสนเทศที่แสดงถึงประสิทธิภาพ ในการส่งของอย่างตรงเวลาของพ่อค้าในสองปีที่ผ่านมา โดยอาจหาจากรายงานหรือฐานข้อมูลในระบบ MIS ได้ แต่ในส่วนที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น สถานการณ์จำเป็นที่ทำให้ ไม่สามารถส่งสินค้า หรือราคาและนโยบายในการสั่งซื้อ เป็นต้น ทำให้ปัญหาเช่นนี้ต้องใช้ระบบ DSS ช่วยในการตัดสินใจ
  13. ระบบ MIS จะถูกออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนงานที่แน่นอน เช่น ระบบบัญชี การควบคุมสินค้าคงคลัง หรือแม้แต่ระบบโดยรวมทั้งหมดขององค์กร ในขณะที่ระบบ ดีเอสเอสเป็นชุดของเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ ที่สามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์การตัดสินใจแบบต่างๆได้
  14. ระบบ MIS จะให้รายงานหรือสารสนเทศที่สรุปออกมากับผู้ใช้ ในขณะที่ระบบ DSS จะโต้ตอบกับผู้ใช้ทันที
  15. ระบบ MIS ผู้ใช้ไม่สามารถขอให้ระบบสนับสนุนสารสนเทศสำหรับการตัดสินใจที่ต้องการเป็นการเฉพาะ หรือในรูปแบบเฉพาะตัว แต่ในระบบ DSS ผู้ใช้สามารถกำหนดเองได้
  16. ระบบ MIS จะให้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับผู้บริหารระดับกลางในขณะที่ระบบ DSS จะให้สารสนเทศที่เหมาะกับทั้งผู้บริหารระดับกลางและระดับสูง
  ตัวอย่างของ DSS  กับการบริหารจัดส่งสินค้าบริษัทซาน ไมเกล ( San Miguel Corporation) ใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารการส่งสินค้า ( Production Load Allocation) เพื่อส่งสินค้ากว่า 300 ชนิด เช่น นม เบียร์ และอื่น ๆ โดยส่งไปทั่วหมู่เกาะฟิลิปินส์ ระบบดังกล่าวช่วยคำนวณความสมดุลระหว่างค่านำส่ง ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อ กับความถี่ในการนำส่งปริมาณต่ำสุดในการสั่งสินค้า รวมถึงการกำหนดจำนวนสินค้าแต่ละชนิดที่จะผลิตและการนำสินค้านั้นไปเก็บไว้ในคลังสินค้าต่าง ๆ ระบบนี้จะช่วยให้บริษัทกำหนดแผนการผลิตที่เหมาะสมและสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเก็บสินค้าไว้ในคลังได้ถึง 180,000 เหรียญสหรัฐต่อปี



3. ระบบMIS (Management Information System)


  


           ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (Management Information System) หรือ MIS คือระบบที่ให้สารสนเทศที่ผู้บริหารต้องการ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะรวมทั้ง สารสนเทศภายในและภายนอก สารสนเทศที่เกี่ยวพันกับองค์กรทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งสิ่งที่คาดว่าจะเป็นในอนาคต นอกจากนี้ระบบเอ็มไอเอสจะต้อง ให้สารสนเทศ ในช่วงเวลาที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการวางแผนการควบคุม และการปฏิบัติการขององค์กรได้อย่างถูกต้อง
แม้ว่าผู้บริหารที่จะได้รับประโยชน์จาก ระบบเอ็มไอเอสสูงสุดคือผู้บริหารระดับกลาง แต่โดยพื้นฐานของระบบเอ็มไอเอสแล้ว จะเป็นระบบที่ สามารถสนับสนุนข้อมูลให้ ผู้บริหารทั้งสามระดับ คือทั้งผู้บริหารระดับต้น ผู้บริหารระดับกลาง และผู้บริหารระดับสูง โดยระบบเอ็มไอเอสจะให้รายงาน ที่สรุปสารสนเทศซึ่งรวบรวมจากฐานข้อมูลทั้งหมดของบริษัท จุดประสงค์ ของรายงานจะเน้นให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นแนวโน้ม และภาพรวม ขององค์กรในปัจจุบัน รวมทั้งามารถควบคุมและตรวจสอบงานของระดับปฏิบัติการด้วย อย่างไรก็ดี ขอบเขตของรายงาน จะขึ้นอยู่กับ ลักษณะของสารสนเทศ และจุดประสงค์การใช้งาน โดยอาจมีรายงานที่ออกทุกคาบระยะเวลา (เช่น งบกำไรขาดทุนหรืองบดุล) รายงานตามความต้องการ หรือรายงานตามสภาวะการณ์หรือเหตุผิดปกติ

ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ Management Information System เป็นระบบการจัดหาคนหรือข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กับข้อมูลเพื่อการดำเนินงานขององค์การการจัดโครงสร้างของสารสนเทศโดยแบ่งตามลำดับ การนำไปใช้งานสามารถแบ่งได้ 4 ระดับดังนี้
1. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในการวางแผนนโยบาย กลยุทธ์ และการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง
2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในส่วนยุทธวิธีในการวางแผนการปฏิบัตและการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง
3. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในระดับปฎิบัติการและการควบคุมในขั้นตอนนี้ผู้บริหารระดับล่างจะเป็นผู้ใช้สารสนเทศเพื่อช่วยในการปฎิบัติงาน
4. ระบบสารสนเทศที่ได้จากการประมวลผล ระบบสารสนเทศเป็นระบบรวมทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถเก็บรวบรวมในลักษณะระบบเดียวเนื่องจากขนาดข้อมูลมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมาก ทำให้การบริหารข้อมูลทำได้อยาก การนำไปใช้ไม่สะดวก จึงจำเป็นต้องแบ่งระบบสารสนเทศออกเป็นระบบย่อย 4 ส่วนได้แก่
ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing System :TPS)
ระบบจัดการรายงาน (Management Reporting System :MRS)
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System :DSS)
ระบบสารสนเทศสำนักงาน (Office Information System :OIS)



ลักษณะของระบบเอ็มไอเอสที่ดี ระบบMIS จะสนับสนุนการทำงานของระบบประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลรายวัน
ระบบMIS จะใช้ฐานข้อมูลที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน และสนับสนุนการทำงานของฝ่ายต่าง ๆ ในองค์กร
ระบบMIS จะช่วยให้ผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง เรียกใช้ข้อมูลที่เป็นโครงสร้างได้ตามเวลาที่ต้องการ
ระบบMIS จะมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร
ระบบMIS ต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูล และจำกัดการใช้งานของบุคลเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น


ตัวอย่างของระบบ MIS  ระบบประมวณผลรายงาน เช่น การบันทึกรายการบัญชี การขาย และการผลิต
ระบบการจัดการรายงาน เช่น Grade Report   ระบบ



4. ระบบสารสนเทศความรู้ [Knowledge Work Systems (KWS)]
            ระบบสารสนเทศความรู้ (KWS)  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าระบบงานสร้างความรู้ หรือ จัดการความรู้ (Knowledge Work Systems - KWS) เป็นระบบที่ช่วยสนับสนุนบุคลากรที่ทำงานด้านการสร้างความรู้เพื่อพัฒนาการคิดค้น สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บริการใหม่ ความรู้ใหม่เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงาน หน่วยงานต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้โดยสะดวก สามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านเวลา คุณภาพ และราคา ระบบต้องอาศัยแบบจำลองที่สร้างขึ้น ตลอดจนการทดลองการผลิตหรือดำเนินการ ก่อนที่จะนำเข้ามาดำเนินการจริงในธุรกิจ ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของ สิ่งประดิษฐ์ ตัวแบบ รูปแบบ เป็นต้น

    ขั้นตอนการพัฒนาฐานความรู้เพื่อการจัดการ(Knowledge Management Systems: KMS) มี4ขั้น
    Creation - สร้าง
    Storage - จัดเก็บ
    Distribution - เผยแพร่ 
    Application - จัดการ
               
     
    Knowledge Work System ประกอบด้วยส่วนสำคัญ ดังต่อไปนี้
    1. ฐานข้อมูลการจัดการลูกค้า และการตลาด
    2 สารบัญฐานข้อมูลความรู้พื้นฐานและวิธีการจัดการลูกค้าขององค์กร
    3. การเชื่อมต่อองค์ประกอบด้านบัญชี
    4. การจัดการคลังสินค้า และการหมุนเวียนอุปกรณ์
    5. การเชื่อมต่อฐานข้อมูลสิทธิลูกค้า (Authentication service management)
    6. ระบบการจัดการผู้ใช้งานของ KWS
     
    Knowledge Work Systems (KWS) มีเครื่องมือสนับสนุนในการสร้างและจัดการความรู้หลายประเภท โดยประยุกต์เครื่องมือต่าง ๆ ให้สามารถจัดการความรู้ที่มีหลายรูปแบบและกระจัดกระจายในที่ต่าง ๆ ได้

    ตัวอย่างของ KWS เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ หรือ Expert Systems (ES) ซึ่งเป็นระบบที่เก็บความรู้ และความชำนาญของผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ   มาจัดเป็นหมวดหมู่ระบบ ให้สามารถทำงานได้เสมือนหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเอง เพื่อค้นหาความรู้ที่อาจกระจัดกระจายอยู่ตามแหล่งสารสนเทศในอดีตขององค์การ เป็นต้น


    5. ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ( Office Automation System : OAS )
              
    ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ( Office Automation System : OAS )    เป็นระบบสำหรับเชื่อมโยงการทำงานของเจ้าหน้าที่และผู้บริหาร เพื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูล การค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูล การจัดตารางนัดหมาย การประชุมทางไกล
    * สนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลโดยตรง เช่น พนักงานป้อนข้อมูล
    (Data Entry Worker)
    * เป็นกลุ่มพนักงานที่มีความรู้ในระดับต่ำกว่าผู้ชำนาญการ (Knowledge Workers)
    * OAS เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยการสนับสนุนการใช้ข้อมูลร่วมกัน และอำนวยความสะดวกใน การสื่อสารระหว่างกัน
     
    ตัวอย่างของ OAS เช่น เลขาณุการเช็ค E-mail, Voice Mail, VDO Conferencing, Word Processing, etc ให้ผู้บริหาร
     
     
     
     
    6.ระบบประมวณผลรายการ ( Transaction Processing Systems )
     
     
     
     
     
     
           ระบบประมวณผลรายการ ( Transaction Processing Systems ) คือระบบที่ใช้งานขั้นพื้นฐานขององค์กร ( Routine Work ) หรือใช้กับการบันทึกรายการเปลี่ยนแปลง ( Transaction ) การดำเนินงานในองค์กรที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น การฝากเงิน การถอนเงิน การซื้อหรือขายสินค้า
     
    TPS จะเกี่ยวข้องกับข้อมูลปริมาณมาก โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นข้อมูลขั้นพื้นฐานขององค์กร ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการดำเนินของระบบสารสนเทศประเภทอื่นๆต่อไป
     
    ตัวอย่างของ TPS เช่น ระบบการบริหารเงินสด ( Cash Management ) ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ ( Securities Trading )

     

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อการจัดการทางการเงิน

          พัฒนาการด้านการเงิน นับวันยิ่งมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดความสะดวก สบาย รวดเร็ว กับผู้บริโภคและการทำงานในส่วนหลังบ้านมากที่สุด ซึ่งในวันนี้บริการทางด้านการเงินได้มีวิวัฒนาการขึ้นจากเมื่อก่อนมากมาย และมีการผูกเอาระบบออนไลน์ หรืออินเทอร์เน็ตเข้าไปรองรับการใช้งานของผู้บริโภคมากขึ้นนอกจากธนาคารต่างๆ จะมีการนำเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยในการบริการ เพื่อให้สะดวก รวดเร็ว และรองรับการใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว แม้แต่บัตรพลาสติก ที่แน่นอนว่าต้องเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกรรมทางการเงินของทุกๆ คนในปัจจุบัน ก็ได้มีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน โดยได้ทำให้มีความปลอดภัย และนำไปใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
บัตรพลาสติกติดชิปการติดชิป บนบัตรพลาสติก ถือเป็นพัฒนาการขั้นหนึ่งที่เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ตัวบัตรพลาสติกที่ใช้กันอยู่นี้มีความฉลาด และเก็บข้อมูลได้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งการนำชิปมาติดบนบัตรพลาสติก แล้วทำให้มีคนรู้จัก และเข้าใจเทคโนโลยีของบัตรพลาสติกที่เปลี่ยนไปได้อย่างดีที่สุด ก็คือ การนำไปใช้ในบัตรประชาชน หรือที่เรียกกันว่า บัตรสมาร์ทการ์ด นั่นเองนอกจากการนำชิปไปติดบนบัตรพลาสติก เพื่อเก็บข้อมูลสำคัญส่วนตัวของแต่ละคนแล้ว เทคโนโลยีบนชิปยังสามารถนำไปใช้ในด้านการชำระเงินได้ด้วย โดยชิปจะทำหน้าที่คล้ายเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วบนบัตร หน่วยความจำ และความสามารถในการประมวลผลของชิปจะเปลี่ยนไปตามรูปแบบการชำระเงินด้วยบัตร ซึ่งชิปจะสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าแถบแม่เหล็กที่บัตรชำระเงินทั่วไปใช้อยู่ในปัจจุบันถึง 80 เท่าเป็นอย่างน้อยขณะนี้ธนาคารต่าง ๆ เริ่มทยอยเปลี่ยนระบบบัตรชำระเงิน จากแถบแม่เหล็กแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เป็นบัตรติดชิปที่ใช้มาตรฐานของอีเอ็มวีเพื่อแก้ปัญหาการลักลอบปลอมแปลงบัตรเครดิตที่กำลังมีเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน โดย อีเอ็มวีทำหน้าที่เป็นกลไกในการสร้างกรอบสำหรับผู้ผลิตบัตรติดชิปและเครื่อง ที่รับบัตรชนิดนี้เพื่อให้บัตรสามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลกอีเอ็มวี (EMV- Europay International, MasterCard International and Visa International) เป็นกลุ่มทำงานร่วมกันของผู้มีบทบาทสำคัญในธุรกิจชำระเงิน ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเทคโนโลยีชิปไปใช้กับระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ โดยได้ร่วมกันพัฒนาคุณสมบัติเฉพาะของบัตรที่ติดชิปและเครื่องรับบัตรที่จะมาใช้กับบัตรนี้ในการชำระเงินการใช้ระบบอีเอ็มวี นอกจากจะทำให้บัตรติดชิปสามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลกแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการปลอมแปลงบัตรเครดิตทั้งภายในประเทศ และ ระหว่างประเทศได้อีกด้วยบัตรสมาร์ทการ์ดเป็นบัตรชำระเงินที่สามารถใช้งานได้ หลากหลายซึ่งจะช่วยอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ถือบัตรเป็นอย่างมาก และยังเป็นรูปแบบของบัตรชำระเงินที่ให้ความปลอดภัยสูงสุดในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังสามารถเป็นทั้งบัตรเดบิต บัตรเครดิต บัตรสะสมแต้มคะแนนได้ในใบเดียวกันปัจจุบันบัตรสมาร์ทการ์ดจะมิได้เป็นเพียงบัตรชำระเงินเท่านั้น แต่สามารถใช้เป็นบัตรสะสมแต้ม และมีคุณลักษณะเสริมอื่นๆ ด้วย เช่น สะสมคะแนนของความบ่อยในการใช้บริการ นำไปใช้ในสถานที่ที่เจ้าของบัตรได้ระบุไว้ในโปรโมชั่นเพื่อสะสมแต้มพิเศษในช่วงเวลานั้น หรือเมื่อไปใช้บริการห้องพักโรงแรม ก็จะได้พักห้องฟรีเมื่อสะสมคะแนนถึงจำนวนที่กำหนดโดยผู้ถือบัตรสมาร์ทการ์ดต่อไปไม่ต้องแสดงบัตร ‘ลูกค้าที่พักบ่อย’ กับพนักงานเช็กอินของโรงแรม เนื่องจากไมโครชิปเล็กๆ ที่ติดอยู่ในบัตรสมาร์ทการ์ดนั้นสามารถบันทึกและแสดงข้อมูลล่าสุดของการใช้บริการของผู้ถือบัตร ณ สถานให้บริการนั้นๆ ได้ทันทีนอกจากนั้น บัตรสมาร์ทการ์ดยังสามารถใช้ยืนยันความเป็นเจ้าของบัตรที่แท้จริง ขณะที่ใช้บัตรซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตเพื่อความปลอดภัย และเพื่อให้สามารถทำธุรกรรมได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม โดยการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยบัตรสมาร์ทการ์ดมีขึ้นครั้งแรกในปี 2540 นับ ตั้งแต่นั้นมาบัตรสมาร์ทการ์ดก็ได้รับการพัฒนาและทดสอบเรื่อยมาเพื่อให้ สามารถใช้งานได้จริงในอนาคตบัตรสมาร์ทการ์ดสามารถทำหน้าที่เป็นทั้งบัตร เครดิต บัตรเดบิตและบัตรสมาชิกต่างๆ ได้ ต่อไปผู้ถือบัตรจะสามารถจัดการทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องธุรกิจได้อย่างสะดวกสบายด้วยบัตรเพียงหนึ่งใบ แม้จะอยู่ระหว่างเดินทางต่างประเทศก็ตาม


บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้น สิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำรงชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมาก มีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ในช่วง พ.ศ.2523 เป็นต้นมา ความเจริญก้าวหน้าทางด้านคอมพิวเตอร์ และระบบสื่อสารข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อประมวลผลข้อมูลเป็นไปอย่างกว้างขวาง มีการส่งถ่ายข้อมูลระหว่างกันเป็นจำนวนมาก เกิดการประยุกต์งานด้านต่าง ๆ เช่น ระบบการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ การใช้โทรสาร (facsimile) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail) ชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ที่มีบทบาทเพิ่มขึ้น จากปี พ.ศ. 2528 กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้มีการเรียนคอมพิวเตอร์จากเดิมเป็นวิชาเลือก แต่ในปัจจุบัน ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2542 กำหนดให้นักเรียนทุกคนต้องเรียน เพื่อให้เยาวชนทุกคนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศ และนำไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานการเงินและการพาณิชย์
สถาบันการเงินต่างๆ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบของเครื่องถอนเงินโดยอัตโนมัติ หรือ ATMเพื่ออำนวยความสะดวกในการฝาก ถอนเงิน และได้นำคอมพิวเตอร์ระบบออนไลน์และออฟไลน์เข้ามาช่วยในการทำงานประจำวันของธนาคาร




เทคโนโลยีสารสนเทศกับการจัดการการเงิน
ระบบสารสนเทศทางการเงิน ( Financial information systems )การออกแบบและพัฒนาระบบทางการเงินเพื่อทำการพยากรณ์แผนทาง การเงินโดยอาศัยข้อมูลทั้งภายในและภายนอก การจัดการด้านการเงินในการหาแหล่งเงินทุน-จัดสรรเงินทุน และการควบคุมทางการเงินเพื่อติดตาม ตรวจสอบ และประเมินความเหมาะสมในการดำเนินงานการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานการเงินและการพาณิชย์สถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร ได้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบของ ATM เพื่อ อำนวยความสะดวกในการฝาก ถอน โอนเงิน ในส่วนของงานประจำของธนาคารต่างก็นำคอมพิวเตอร์ระบบออนไลน์ และออฟไลน์เข้ามาช่วยปฏิบัติงาน ทำให้การเชื่อมโยงข้อมูลธนาคารเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว เชื่อมโยงกับสาขาอื่น หรือสำนักงานใหญ่ได้ระบบเอทีเอ็ม
ระบบเอทีเอ็ม (Automatic Teller Machine : ATM) หรือ ระบบถอนเงิน หรือฝากเงินของธนาคารโดยอัตโนมัติ เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกสบายอย่างมากให้แก่ผู้ใช้บริการธนาคาร และเป็นตัวอย่างเทคโนโลยีระบบสารสนเทศที่ได้รับการนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการ แข่งขันทางธุรกิจ ในอดีตเมื่อเริ่มมีการใช้ระบบเอทีเอ็ม เครื่องแรกของโลก หรือของประเทศไทย มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจอะไรเกิดขึ้น และขณะนั้นธุรกิจธนาคาร ให้ทางเลือกในการบริการกันอย่างไรบ้าง
พ.ศ.2520 เป็นปีที่มีการใช้เอที เอ็มเครื่องแรกของโลก ธนาคารซิตี้ แบงค์ ในเมืองนิวยอร์ก เริ่มให้บริการฝากและถอนเงินโดยอัตโนมัติแก่ลูกค้า ซึ่งสามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมวันเสาร์ อาทิตย์ด้วย ในขณะที่ธนาคารอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ บนถนนสายเดียวกันให้บริการลูกค้าในเวลาปกติเท่านั้น คือ เฉพาะจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 8.00-14.00 น. หลังจากบ่ายสองโมงก็หมดโอกาสได้รับบริการ ฝากถอนเงินแล้ว เมื่อวิเคราะห์มุมมองในการแข่งขันของธนาคาร ในการให้บริการลูกค้า กล่าวได้ว่า ระบบเอทีเอ็มของธนาคารซิตี้แบงค์เป็นบริการใหม่ที่ทำให้ลูกค้าได้รับความ สะดวกสบาย และคล่องตัว ได้ดึงดูดลูกค้าจากธนาคารอื่นมาเป็นลูกค้าของตัวเอง และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาเกือบสามเท่าตัว ในช่วงเวลาประมาณ 6 เดือน ก่อนที่ธนาคารคู่แข่งจะไหวตัวทัน และหันมาให้บริการเอทีเอ็มบ้าง


ตู้ฝากถอนเงินในระบบเอทีเอ็ม
ประโยคภาษาอังกฤษที่ว่า "Who is the first gains the benefits." หรือ ใครที่มาก่อน ทำก่อน ย่อมได้ผลกำไร ภาพของการนำเอาเทคโนโลยีเอทีเอ็มเข้ามาใช้ก่อนเป็นรายแรก และสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจเหนือคูแข่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ในเมืองใหญ่ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นซิดนีย์ โตเกียว ปารีส และรวมทั้งกรุงเทพด้วย กล่าวคือ ธนาคารในเมืองเหล่านั้นที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเอทีเอ็มได้ก่อน และให้บริการที่เหนือกว่า ก็สามารถดึงส่วนแบ่งการตลาดได้สูงมากเหนือคู่แข่ง เนื่องจากได้ใช้ระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์มาเป็นกลยุทธ์ในการแข่งขัน ในแง่การปรับปรุงการบริการแก่ลูกค้า เช่น ปรากฏการณ์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สามารถนำระบบคอมพิวเตอร์แบบเชื่อมตรงมาบริการการใช้เอทีเอ็ม และประสบความสำเร็จได้ก่อน จึงมีโอกาสดึงส่วนแบ่งการตลาดได้สูง



เทคโนโลยี ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของระบบเอทีเอ็ม ก็คือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่รวบรวมข้อมูลบัญชีเงินฝากของลูกค้าธนาคารไว้ในฐานข้อมูล กับเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล ทำให้สามารถเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ออกไปทั่วเมือง ทั่วประเทศ หรือทั่วโลกได้ ผู้ใช้บัตรเอทีเอ็มสามารถเบิกเงินจากธนาคารได้จากตู้เอทีเอ็มที่ติดตั้งอยู่ ในเกือบทุกหนแห่ง เช่น ในห้างสรรพสินค้า หรือ ตามมุมถนนทั่วไป ทุกครั้งที่ลูกค้าใช้บัตรเอทีเอ็มจากตู้เอทีเอ็ม จะมีการสื่อสารข้อมูลไปยังฐานข้อมูลกลางที่สำนักงานใหญ่ของธนาคาร ซึ่งได้บรรจุข้อมูลยอดเงินฝากและการฝากการถอนเงินของลูกค้า ฐานข้อมูลนี้จึงมีลักษณะสำคัญที่เรียกว่าเป็นฐานข้อมูลกลาง ในความหมายที่ว่า ลูกค้ามีบัญชีเงินฝากในธนาคารแห่งนั้น ๆ จะมีข้อมูลอยู่ที่ฐานข้อมูลกลางเพียงชุดเดียว และด้วยระบบการสื่อสารข้อมูลในลักษณะเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้เข้าถึง ข้อมูลได้จากระยะไกล นอกจากนี้คอมพิวเตอร์ยังช่วยจัดการประมวลผลรายการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น การฝาก การโอน และการถอน ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

           สารสนเทศเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีค่า ต่อการตัดสินใจเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ทำให้สามารถคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น และช่วยลดความไม่แน่นอนให้แก่ผู้ที่ทำการตัดสินใจโดยทำให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สารสนเทศจะมีประโยชน์หรือมีค่าต่อผู้ใช้มากน้อยเพียงใดนั้นจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของสารสนเทศนั้น ๆ สารสนเทศที่มีคุณภาพควรมีลักษณะที่สำคัญ ๆ มีดังนี้

1.เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ

2.ถูกต้องเชื่อถือได้

3.สมบูรณ์ครบถ้วน

4.ทันเวลา

5.แสดงเป็นจำนวนได้

6.ตรวจสอบความถูกต้องได้

7.สามารถเข้าใจได้

8.สามารถเปรียบเทียบกันได้

 ระบบสารสนเทศด้านการเงิน (Financial Information System) จะเกี่ยวกับสภาพคล่อง (Liquidity) ในการดำเนินงาน เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินสดหมุนเวียน ถ้าธุรกิจขาดเงินทุนอาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นทั้งโดยตรงและอ้อม โดยที่การจัดการทางการเงินจะมีหน้าที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้
           
1. การพยากรณ์ (Forecast) คือการศึกษาวิเคราะห์ การคาดการณ์ การกำหนดทางเลือก และการวางแผนทางด้านการเงินของธุรกิจ เพื่อใช้ทรัพยากรทางการเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยนักการเงินสามารถใช้หลักการทางสถิติและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มาประยุกต์ การพยากรณ์ทางการเงินจะอาศัยข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์การ ตลอดจนประสบการณ์ของผู้บริหารในการตัดสินใจ
           

2. การจัดการด้านการเงิน (Financial Management) คือการบริหารเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น รายรับและรายจ่าย การหาแหล่งเงินทุนจากภายนอก เพื่อที่จะเพิ่มทุนขององค์การ โดยวิธีทางการเงิน เช่น การกู้ยืม การออกหุ้น หรือตราสารทางการเงิน

3. การควบคุมทางการเงิน (Financial Control) เป็นการติดตามผล ตรวจสอบ และประเมินความเหมาะสมในการดำเนินงานว่าเป็นไปตามแผนที่กำหนดหรือไม่ ตลอดจนวางแนวทางแก้ไขหรือปรับปรุงให้การดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจมีประสิทธิภาพ โดยที่การตรวจสอบและการควบคุมทางการเงินของธุรกิจจะจำแนกได้ 2 ประเภท คือ3.1 การควบคุมภายใน (Internal Control)
3.2 การควบคุมภายนอก (Extern สารสนเทศ (information) คือทรัพยากรที่มีความสำคัญยิ่งขององค์กรไม่แพ้ทรัพยากรบุคคลหรือสินทรัพย์อื่นๆขององค์กรองค์กรที่มีระบบการจัดเก็บจัดการ และนำเสนอสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพย่อมทำให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งทางธุรกิจรวมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจได้ดีกว่าในอดีต สารสนเทศทางการบัญชีเป็นงานที่ต้องทำด้วยมือทั้งหมด ทำให้การนำสารสนเทศทางการบัญชีมาใช้ทำได้อย่างล่าช้าและอาจไม่ทันการในเชิงธุรกิจแต่ในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการประมวลผล ระบบสารสนเทศทางการบัญชีก็พัฒนามาสู่ยุคของระบบสารสนเทศทางการบัญชีที่ใช้คอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน ระบบนี้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ใช้สารสนเทศได้มากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นผู้ที่ทำงานด้านการบัญชีในยุคนี้จึงควรมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้กับงานบัญชีเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ